top of page
Search
Writer's pictureDOMINIQUE

Bloody Party - คดีฆาตกรรมราตรีสีชาด

Updated: Oct 12, 2021



!! TRIGGER WARNING !! เรื่องนี้มีเนื้อหารุนแรงเกี่ยวกับการฆาตกรรม นองเลือด เเละความคิดที่ไม่ปกติของตัวละครนะคะ

อาจเกิดผลกระทบต่อจิตใจได้ กรุณาอ่านอย่างมีวิจารณญาณ



***


รุ่งเช้าในฤดูใบไม้ร่วงเดือนพฤศจิกายน ได้มีการรายงานว่าพบศพผู้เสียชีวิตจำนวน 7 ราย และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจำนวน 1 ราย รวมทั้งสิ้น 8 ราย ณ บ้านพักตากอากาศกลางหุบเขาเอโซะ คิวซู จังหวัดคุมาโมโตะ คดีดังกล่าวกลายเป็นคดีสะเทือนขวัญ เนื่องจากพยานแวดล้อมระบุว่าผู้เสียชีวิตทั้งหมดเสียชีวิตในเวลาไล่เลี่ยกัน และมีหลายสาเหตุการตาย ไม่มีใครเข้าออกในบ้านหลังนั้นตลอดทั้งคืนที่ทั้ง 8 รายพักอยู่ที่นี่ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนสอบสวนประจำเขตพื้นที่กำลังพยายามอย่างเต็มที่ในการแก้ไขคดีนี้



********


ศพที่ 1 : อิวาซากิ สุมิเระ


ชีวิตของฉันอยู่ที่ปลายผาสูง อยู่ตรงนี้มาตลอด ถ้าฉันคิดจะกระโดดลงไปก็สามารถทำได้ในก้าวเดียว แต่ฉันก็ยังยืนอยู่ตรงนี้ ฉันจะกระโดดลงไปดีไหมนะ ฉันไม่รู้ว่าข้างล่างนั้นเป็นอย่างไรแต่ฉันคงกระโดดลงไปสักวันใดวันหนึ่งนั่นแหละ



จะตี 2 แล้ว ฝนที่ตกหนักตั้งแต่หัวค่ำยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง อากาศเย็นเสียจนเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ของฉันเริ่มจะเอาไม่อยู่ บรรยากาศเงียบเหงามืดมนทำให้ฉันรู้สึกเศร้าอย่างไม่มีสาเหตุ ขณะที่ฉันนั่งเหม่อมองเข็มนาฬิกาเคลื่อนที่เป็นวงกลมอยู่อย่างนั้นใครบางคนก็เดินเข้ามาในร้านสะดวกซื้อที่ฉันทำงานพิเศษอยู่


“เหนื่อยหน่อยนะคะ” ฉันลุกขึ้นแทบจะทันทีและทักทายด้วยประโยคที่ไม่เคยใช้กับลูกค้าคนไหน ถ้าผู้จัดการร้านได้ยินเข้าต้องโดนไล่ออกแน่ ๆ แต่ใครสนกัน ตอนนี้ฉันไม่รู้สึกเศร้าอีกแล้ว


“ขอบใจจ้ะ แต่วันนี้ฉันไม่เหนื่อยเลยสักนิด” เธอตอบฉันอย่างสนิทสนมขณะหุบร่มในมือ เธอชอบให้ฉันทักทายเธอแบบนี้ อิจิโกะ ซากาโมโตะ ลูกค้าประจำของฉัน เพื่อนบ้านของฉัน พี่สาวของฉัน


เวลาหลังเลิกงานของอิจิโกะตรงกับเวลาเข้างานของฉัน เราได้เจอกันบ่อย ๆ ที่ร้านสะดวกซื้อ และที่อะพาร์ตเมนต์ หลังจากที่ฉันอายุได้ 18 ปี ก็ออกจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ฉันมาอาศัยอยู่ห้องข้าง ๆ เธอตั้งแต่ตอนนั้น จนตอนนี้ก็ 4 ปีแล้ว


มีหลายโอกาสที่เราได้คุยกัน เราหัวเราะ ร้องไห้ด้วยกันแทบทุกเรื่องแล้วจนกระทั่งสนิทสนม ฉันรักเธอเหมือนพี่สาวแท้ ๆ เธอคอยห่วงใย ให้คำปรึกษาต่าง ๆ กับฉันอยู่เสมอ ฉันมีความสุขทุกครั้งที่เราได้คุยกัน และตัวตนแบบนี้ของเธอทำให้คนอย่างฉันที่เป็นคนไม่ชอบยุ่ง ไม่อยากทำความรู้จักกับใคร ไม่สนว่าใครจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ยังเลือกที่จะรักษาเธอไว้ให้เป็นคนสำคัญในชีวิต


อิจิโกะเป็นคนน่ารักไม่ว่าจะกับเรื่องอะไรก็ตาม


ยกเว้นเรื่องหนึ่ง


“เธอกินอะไรหรือยัง” อิจิโกะถามฉันขณะเดินไปหยุดหน้าตู้แช่เครื่องดื่ม ฉันพยักหน้าให้เบา ๆ เธอหันมามองหน้าฉันเพื่อดูคำตอบก่อนจะตัดสินใจเปิดเเละหยิบน้ำผมไม้ออกมาสองกล่อง เบียร์อีกหลายกระป๋อง จากนั้นก็เดินกลับมาวางที่หน้าเคาเตอร์ ฉันยิงบาร์โค้ดข้างกระป๋องเบียร์และใส่ถุงพลาสติกอย่างช้า ๆ ทีละกระป๋อง ครั้งนี้เธอซื้อไปมากกว่าทุก ๆ ครั้ง


ช่วงครึ่งปีหลังมานี้เธอเริ่มซื้อเบียร์กลับไปบ่อย ๆ ฉันไม่อยากให้เธอทำแบบนี้เลย เพราะทุก ๆ ครั้งที่เธอซื้อกลับไป วันรุ่งขึ้นฉันจะได้เห็นเธอในสภาพสะบักสะบอมเสมอ เธอไม่เคยแตะของมึนเมา เบียร์พวกนี้เป็นของ ทานากะ ชินตะ แฟนหนุ่มของอิจิโกะ ครั้งไหนที่เขาดื่มจนไม่ได้สติก็จะเผลอลงไม้ลงมือกับเธอตลอด เเละเกือบทุกครั้งก็เป็นฉันเองที่คอยทำแผลและพาเธอไปโรงพยาบาล


“กล่องนี้ของสุมิเระนะ” แต่ถึงอย่างนั้นอิจิโกะพี่สาวแสนดีที่สุดของฉันก็ยังเลือกที่จะอยู่กับเขา


“ขอบคุณค่ะ” ฉันรับไว้แล้วเดินอ้อมเคาเตอร์ออกมา เดินตามเธอไปที่โต๊ะสำหรับนั่งกินในร้านตัวประจำของเรา


“วันนี้มีเรื่องอะไรดี ๆ เหรอคะ” ฉันถามพร้อมเจาะกล่องน้ำผลไม้ในมือ


“ฉันไปเยี่ยมพ่อกับแม่มาน่ะ” เธอตอบก่อนจะถอดหน้ากากอนามัยออก เผยให้เห็นใบหน้ารูปไข่ทั้งใบ กับผิวหน้าเรียบเนียนชวนสัมผัส เมื่อก่อนนี้เคยขาวใสเหมือนปลาชิราอุโอะ แต่ตอนนี้ออกจะซีดหน่อย ๆ แล้วก็มีรอยช้ำที่โดนกลบด้วยคอนซีลเลอร์และรองพื้นหนาแต่ก็ยังมองเห็นอยู่ดี


รอยช้ำสีน้ำเงิน สีม่วง สีเขียว สีแดง


สีเดียวกันกับยาที่เธอจำเป็นต้องกินทุกวันนั่นแหละ ฉันไม่ชอบเลย


“อยู่ดี ๆ ก็คิดถึงท่านขึ้นมาน่ะ อยากรู้จังข้างบนนั้นจะเป็นยังไงน้า” อิจิโกะพูดพร้อมกับยกข้อศอกขึ้นมาเท้าบนโต๊ะแล้วผสานนิ้วมือเรียวสองข้างมารองไว้ใต้คาง เธอหันมาจ้องตาฉันที่จ้องตาเธออยู่ก่อนแล้ว


“นี่ สุมิเระ”


“คะ...ค่ะ”


“เธอทำหน้าแบบนั้นอีกแล้ว เวลาเธอจ้องตาฉันนิ่ง ๆ ฉันกลัวนะ” เธอเปลี่ยนท่านั่งแล้วดึงหลอดข้างกล่องน้ำผลไม้ออกมาเจาะเพื่อดื่ม “นี่...ฉันไม่เป็นอะไรหรอกน่า”


อิจิโกะรู้สาเหตุดีที่ฉันจ้องตาเธอแบบนี้ ถึงฉันจะเป็นคนที่มีสีหน้าเรียบเฉยอยู่ตลอดก็ตามแต่เธอดันเป็นคนเดียวที่อ่านออกทั้งหมดไม่ว่าฉันกำลังรู้สึกอย่างไร แม้ว่าจะไม่พยายามแสดงออก


“ฉันไม่ชอบเลยค่ะ” ฉันพูดแบบนี้ทุกครั้งที่ไม่พอใจเรื่องนั้น ฉันบอกเธอตรง ๆ เสมอ เธอรับรู้แต่ก็เอาแต่บอกว่าไม่เป็นไร เธอคงจำครั้งแรกที่เรื่องนี้เกิดขึ้นไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นเธอก็ไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับมันเลย


“ทำไมพี่ยังยอมผู้ชายเลว ๆ แบบนั้นนะ” ฉันพยายามระงับความไม่พอใจเอาไว้ในขณะที่พูด ฉันไม่ได้โกรธอิจิโกะเลยสักนิด เธอเป็นคนดี และดีเกินไปที่ยังทนกับผู้ชายแบบนั้น ผู้ชายที่เอาแต่ทำร้ายเธอทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นมีดีอะไรนัก


“ไม่ใช่คนเลวสักหน่อย ไม่เป็นไรหรอกน่า สุมิเระ พอแล้ว ไม่งั้นฉันจะร้องไห้ใส่เธอนะ” อิจิโกพูดหยอกฉัน แต่ฉันไม่รู้สึกอยากขำเลยสักนิด ฉันไม่ตอบอะไรกลับไป ทำเพียงแค่ถอนหายใจเบา ๆ เธอไม่เคยฟังฉันเลยเมื่อเป็นเรื่องนี้


“อะ ฝนหยุดตกแล้วล่ะ ฉันว่าฉันกลับก่อนดีกว่า” อิจิโกะหนีหน้าฉันออกไปมองข้างนอก พอเห็นว่าเม็ดฝนที่ตกมาอย่างยาวนานบางตาลงแล้วก็ลุกขึ้น “ดื่มให้หมดแล้วตั้งใจทำงานนะจ๊ะ”


“พี่อิจิโกะ” ฉันเรียกเธอไว้ก่อน “อย่าเพิ่งไปเลย”


“ไว้เจอกันจ้ะ บ่าย ๆ เธอมาดูหนังที่ห้องฉันได้นะ ชินตะไม่อยู่หรอก” เธอไม่เคยฟังฉันเลย


เรื่องนี้เรื่องเดียว


ฉันมองตามแผ่นหลังของเธอที่เดินกางร่มออกจากร้านไปพร้อมกับเบียร์หลายกระป๋องในถุงพลาสติกร้านสะดวกซื้อ ภาวนาในใจขอให้ชินตะไม่ทำอะไรเธอ เขาไม่เห็นหรือไงผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้แทบจะไม่เหลือเรี่ยวเเรงอะไรอยู่แล้ว


ครั้งแรกที่ฉันเจอเธอ อิจิโกะมาซื้อยาทำแผลที่ร้าน เธอนั่งตัวสั่นทำแผลด้วยตัวเองตอนตี 3 ฉันที่เป็นพนักงานคนเดียวในร้านและเป็นคนเดียวที่เห็นเธอในสภาพนั้นแทบจะทนมองอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ ในที่สุดก็ขออาสาช่วยทำแผลให้ ไม่รู้ว่าฉันนั่งเป็นเพื่อนเธอหรือเธอนั่งเป็นเพื่อนฉันกันแน่ในคืนนั้น เธอนั่งอยู่จนกระทั่งฉันเลิกงาน พอเดินกลับเป็นเพื่อนกันถึงได้รู้ว่าเธออาศัยอยู่ห้องข้าง ๆ กับฉันนี่เอง


พอได้สนิทกันก็ได้รู้ว่ารอยแผลและรอยช้ำพวกนั้นเป็นฝีมือของชินตะ ซึ่งเป็นแฟนของเธอเองก็ทำเอาฉันโกรธขึ้นมา แต่นั่นก็เป็นแค่ครั้งเดียวเพราะหลังจากนั้นก็ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก ฉันคิดว่ามันคงจะเป็นแค่ครั้งนั้นครั้งเดียว แต่สุดท้ายมันก็เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อ 5 เดือนก่อน และเกิดขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงทุกวันนี้ รอยเก่าบางรอยยังไม่ทันหายดี อิจิโกะก็ได้รอยใหม่มาอีกแล้ว ฉันไม่อยากให้เธอทนอยู่แบบนี้เลย


อิจิโกะพักอยู่กับแฟนที่คบกันมาได้เกือบ 10 ปีแล้วตั้งแต่สมัยเรียน พอทำงานเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป เธอเล่าให้ฟังว่าเพราะเครียดกับเรื่องงานชินตะเลยเริ่มกลายเป็นคนขี้โมโห อารมณ์ร้าย จนหลัง ๆ มานี้ก็เผลอทุบตีเธอบ่อย ๆ ฉันขอให้เธอเลิกกับผู้ชายคนนั้นหลายครั้งหลายหนแล้วด้วยความหวังดี อิจิโกะกลับเอาแต่ส่ายหัว แล้วบอกว่าชินตะคือคนเดียวที่อยู่เคียงข้างเธอ ชีวิตของเธอมีเพียงชินตะคนเดียวมาตลอด ไม่มีใครเข้าใจเธอเท่าคนคนนี้


อิจิโกะเอาแต่ตอบแบบนั้น เธอไม่เคยให้ใครอยู่เคียงข้างเธอเลยนอกจากเขา ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เธอก็มีฉันคอยอยู่ใกล้ ๆ แล้วอีกคน เธอไม่เคยสังเกตเห็นที่ตรงนี้เลย


ฉันตัดสินใจกับตัวเองอีกครั้งว่าจะต้องทำอะไรบางอย่างแน่ ๆ ถ้าหากวันนี้ฉันได้เห็นแผล หรือรอยช้ำรอยใหม่บนร่างกายของอิจิโกะ ฉันไม่อยากเห็นพี่สาวต้องเจ็บตัวอีกแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันก็จะพาเธอออกมาจากผู้ชายคนนั้นให้ได้


***


โชคดีไม่เคยเข้าข้างฉันสักครั้งเดียว


ฉันรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์แปลก ๆ ทันทีที่มาถึงหน้าอะพาร์ตเมนต์ รถตำรวจและรถของสำนักข่าวจอดอยู่สองสามคัน ตามทางที่เดินขึ้นไปมีคนเข้าออกมากกว่าทุกวัน โดยเฉพาะชั้น 4 ที่ฉันอยู่ เจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มหนึ่งยืนคุยกันอยู่ที่หน้าห้องของอิจิโกะ


“ขอโทษนะคะ” ฉันขอทางเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ยืนบังประตูอยู่ “ฉันจะเข้าห้องน่ะค่ะ”


“ขอโทษครับ เชิญครับ” เจ้าหน้าที่ตำรวจคนนั้นโค้งให้ฉันก่อนจะขยับออกไป


“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ” แม้จะแสดงออกว่าไม่สนใจและทำเป็นถามตามมารยาทเท่านั้น แต่ความจริงคือมือของฉันสั่นเสียจนกดรหัสประตูเข้าห้องไม่ได้ ฉันอยากจะเดินเข้าไปดูในห้องของอิจิโกะให้แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่


“ต้องขอโทษที่รบกวนด้วยครับ พอดีเกิดอุบัติเหตุกับเจ้าของห้องนี้น่ะครับ”


“อุบัติเหตุ...เหรอคะ” ฉันพูดซ้ำตามเจ้าหน้าที่ตำรวจ


“ครับ เธอดื่มเเอลกอฮอล์มากเกินไป..ดะ เดี๋ยวก่อนครับ คุณเข้าไปไม่ได้ ” ฉันไม่รอให้เขาพูดต่อไปมากกว่านี้ เพียงได้ยินคำว่า ‘เธอ’ ฉันก็แทบจะทนรอไม่ไหว พยายามเเหวกกลุ่มของเจ้าหน้าที่ที่ยืนบังประตูห้องอิจิโกะอยู่เข้าไปข้างในห้อง


“ขอโทษนะครับ เราเกรงว่าคุณจะ...เอ่อ ขะ เข้าไปไม่ไม่ได้นะครับ” เจ้าหน้าที่ตำรวจตรงนั้นรั้งแขนฉันไว้ ไม่รู้ว่าแรงมากมายมาจากไหน ฉันสะบัดมือของเจ้าหน้าที่ที่จับแขนฉันอยู่จนหลุด และยืนมองสิ่งที่เห็นตรงหน้า


อิจิโกะนอนอยู่ที่พื้น บนโต๊ะและพื้นที่รอบตัวมีกระป๋องเบียร์ที่เธอเพิ่งซื้อไปเมื่อคืน มันถูกเปิดดื่มหมดทุกกระป๋อง และชินตะไม่ได้อยู่ในห้อง ฉันมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น











สิ่งเดียวที่ฉันรู้คืออิจิโกะไม่เคยดื่ม และสิ่งเดียวที่ฉันแน่ใจคือเรื่องนี้ต้องเป็นฝีมือของชินตะ


‘มีการแจ้งข่าวการเสียชีวิตของหญิงสาวคนหนึ่ง อายุ 29 ปี ในห้องอะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งใกล้มหาวิทยาลัยชื่อดังใจกลางโตเกียว การสันนิฐานเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลที่เกิดเหตุแจ้งว่าเธอเสียชีวิตจากการดื่มแอลกอฮอล์เกินขนาด ตามร่างกายมีรอยช้ำเพราะถูกทำร้ายร่างกาย...’


ฉันนั่งกอดเข่าดูข่าวของพี่สาวข้างห้องที่ฉันรักมากที่สุดทางโทรทัศน์ หลังจากที่เจ้าหน้าที่กันฉันออกมาจากที่เกิดเหตุได้สำเร็จ ฉันก็เอาแต่นั่งร้องไห้อยู่หน้าห้องโดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้หญิงคนหนึ่งคอยปลอบใจ เป็นเวลานานเหมือนกันกว่าที่ฉันจะรวบรวมแรงสุดท้ายลุกขึ้นเดินเข้ามาในห้องได้


‘ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ดูแลคดี สรุปว่าเป็นการฆ่าตัวตายโดยไม่เจตนา ผู้ตายมีประวัติกำลังรับการรักษาโรคซึมเศร้าอยู่ จึงมีความเป็นไปได้อย่างมากที่เธออาจดื่มแอลกอฮอล์เกินขนาดจนปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสูงเกินที่ร่างกายจะรับได้’


ปล่อยให้ข่าวรายงานไปอย่างนั้นเพราะไม่มีใครรู้จริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น และฉันเองไม่มีสิทธิ์อะไรจะเข้าไปยุ่งได้ ฉันไม่ใช่น้องสาวแท้ ๆ หรือครอบครัวของอิจิโกะ ไม่มีอะไรที่ฉันพอจะช่วยเธอได้เลย

ชินตะเองก็ไม่ได้กลับมาหลังจากที่ทุกอย่างเสร็จสิ้นลงแล้ว สิ่งนี้ทำให้ฉันมั่นใจว่าเขาต้องเป็นคนบังคับให้เธอดื่ม พอเธอหมดสติก็คงชิ่งหนีหายไป แต่เขาปฎิเสธการให้ปากคำกับตำรวจ และบอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเธอมาระยะหนึ่งเเล้ว

มันไม่มีทางเป็นแบบนั้นได้เลย


การดำเนินการคดีของอิจิโกะจบลงอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครสงสัยคดีมากนัก และไม่มีใครสนใจเกี่ยวกับชินตะ เจ้าของที่พักให้การว่าเคยได้ยินทั้งสองทะเลาะกันบ่อย ๆ จึงสรุปเอาเองว่าครั้งนี้คงทะเลาะกันหนักถึงขั้นเลิกลา และเธอคงเสียใจมากเลยดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป


นี่ก็ไม่มีทางเป็นไปได้เช่นกัน


แต่ใครจะรู้ อะพาร์ตเมนต์เก่า ๆ ที่กล้องวงจรปิดมีไม่ทั่วถึง ผู้คนไม่เคยสนใจกันและกัน ไม่มีร่องรอยอะไรทิ้งไว้ให้ใครสงสัย และไม่มีใครอยากรู้อะไรนอกจากฉัน การดำเนินการสืคดีจึงจบลงอย่างง่ายดาย


ฉันนั่งคิดทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดคนเดียวเงียบ ๆ ทำได้เพียงแค่โกรธและร้องไห้ ยอมรับความจริงอย่างเจ็บใจว่าอิจิโกะจากฉันไปแล้ว


***


ภาพเหตุการณ์นั้นหวนกลับเข้ามาปรากฏในหัวของฉันอย่างแจ่มชัด นี่เป็นครั้งที่ 3 ของคืนนี้แล้วที่อิจิโกะเข้ามาวนเวียนในความฝัน สลับกับภาพเธอนั่งอยู่ที่โต๊ะประจำในร้านสะดวกซื้อ เธอร้องไห้และตัวสั่นเหมือนครั้งแรกที่เราเจอกัน และเอาแต่จ้องหน้าฉัน ดวงตากลมโตที่ส่องประกายความโศกเศร้าของอิจิโกะทำให้ฉันสะดุ้งตื่น สุดท้ายก็ไม่ได้หลับ


ทุกวันคืนผ่านไปอย่างยากลำบาก เวลาเพีบงแค่ 2 สัปดาห์ฉันยังไม่สามารถทำใจยอมรับได้ ความเสียใจของฉันไม่บรรเทาลงเลย อิจิโก ฉันจะทำใจเรื่องของพี่ได้เมื่อไรกันนะ


ติ้ด ติ้ด ติ้ด ติ้ด


ขณะที่นอนมองเพดานปล่อยให้เวลาช่วงค่ำคืนเดินไปเรื่อย ๆ อยู่นั้น เสียงกดรหัสผ่านเข้าห้องดังขึ้นใกล้ ๆ ประตูห้องของฉัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนหากได้ยินเสียงนี้ก็จะเดาได้ทันทีว่าใครสักคนที่อาศัยอยู่ห้องข้าง ๆ ฉันกลับมาแล้ว หลังจากที่ไม่ได้ยินเสียงนี้มาสักระยะ ฉันรู้ทันทีว่าคนที่กลับมาคือใคร


ความเหนื่อยล้าเพราะหลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอดทั้งคืนหายเป็นปลิดทิ้ง อยู่ดี ๆ ความโกรธที่แอบก่อตัวขึ้นเงียบ ๆ ในจิตใจของฉันเริ่มขยายวงกว้างครอบงำไปทั่วทั้งจิตใต้สำนึก ในหัวของฉันบอกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง และอะไรที่ว่านั่นก็คือการทำให้ความโกรธของฉันที่ทนเก็บมานานได้รับการปลดปล่อย


มันคงเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ที่เขาบอกว่าเวลาที่คนเราโกรธ วิสัยทัศน์ของเราก็จะแคบลง เพราะตอนนี้ฉันไม่สนใจอะไรแล้วนอกจากจะต้องจัดการผู้ชายคนนั้นให้ได้


จัดการให้สาสมทั้งหมดเหมือนที่เขาทำกับพี่สาวของฉัน


ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดนอนไปใส่เสื้อยืดกับกางเกงยีน และพับเสื้อกันหนาวสีดำกับกางเกงวอร์มใส่กระเป๋าผ้าใบใหญ่ ไม่ลืมที่จะเอาหมวกและหน้ากากอนามัยไปด้วย เก็บมีดสำหรับปอกผลไม้ใส่ถุงหูรูดใบเล็กไปด้วย เมื่อเดินออกมาจากห้องก็ยังได้ยินเสียงกุกกักออกมาจากห้อง ชินตะคงกำลังรีบรนเก็บข้าวของของตัวเองที่เหลือ


เดินลงมาจากอะพาร์ตเมนต์แล้วตรงไปที่สวนสาธารณะใกล้ ๆ จัดการใส่เสื้อกันหนาวและกางเกงวอร์มที่เตรียมมาทับเสื้อผ้าที่สวมอยู่ มัดผมเก็บใต้หมวกให้เรียบร้อย และสวมหน้ากากอนามัยปกปิดใบหน้าอีกที พับกระเป๋าผ้าเก็บไว้ในกระเป๋าของกางเกงวอร์ม จับมีดไว้ใต้กระเป๋าเสื้อกันหนาว ก่อนจะเดินกลับมายืนบนสะพานลอยที่มองเห็นหน้าประตูอะพาร์ตเมนต์ คอยดูว่าชินตะจะออกมาเมื่อไร และไปที่ไหน


ชินตะออกมาแล้ว เขาเดินเรียบตึกอะพาร์ตเมนต์ไปทางขวาซึ่งเป็นทางเปลี่ยว เพราะกล้องวงจรปิดที่มีแค่หน้าห้องของเจ้าของอะพาร์ตเมนต์ และหน้าลิฟต์เท่านั้น ชินตะจึงไม่ได้ระวังตัวอะไรมาก เขาไม่ทันระวังเลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งคอยจ้องมองเขาอยู่ยิ่งกว่ากล้องพวกนั้น ข้างหน้าที่ชินตะกำลังเดินไปนั้นเป็นทางใต้สะพานมืดมิด ฉันเผลอยิ้มออกมาใต้หน้ากากอนามัยที่สมอยู่ เวลากลางดึกที่ค่อนข้างจะวิเวกวังเวง ไร้ผู้คนแบบนี้เป็นโอกาสดีที่สุดในการลงมือ ฉันเดินลงจากสะพานลอยอย่างใจเย็นตามเขาไปเรื่อย ๆ ในระยะห่างเกือบ 100 เมตร


เมื่อเงาใต้สะพานบังตัวเขาจนมิด ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรให้จิตใจว่อกแว่กอีก ปล่อยให้หัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ และวิ่งเข้าไปประกบด้านหลังของเขาอย่างรวดเร็ว ไม่ทันให้อีกฝ่ายได้เตรียมรับมืออะไรก็หันมีดปลอกผลไม้เข้าตัวแล้วแทงเข้าที่บริเวณท้องของคนที่อยู่ด้านหน้าให้ลึกที่สุดในครั้งแรก


ฉันจำไม่ได้ว่าดึงมีดออกมาและแทงซ้ำเข้าไปใต้ผิวหนังนั้นกี่ครั้ง ในตอนแรกเขาพยายามจะดึงมือฉันออก แต่เพราะความเจ็บปวดจึงฝืนสู้กับฉันไม่ได้ ชินตะล้มลงไปและไม่ได้ส่งเสียงร้องอะไรออกมา ลมหายใจของเขาเบาลงเรื่อย ๆ ก่อนจะหมดไปพร้อมกับเลือดจากแผลใหญ่ค่อย ๆ ไหลออกมาเต็มบริเวณ


ฉันเหยียมปลายมีดไว้กับพื้นแล้วหักด้ามจับขึ้นมา เก็บด้ามจับนั้นใส่กระเป๋าแล้วแสร้งทำทีเป็นลื้อค้นต้วเขาหากระเป๋าตังและของมีค่าก่อนจะวิ่งออกมาใต้เงามืดสลัวของสะพานลอยนั้นอีกทาง


เดินหาสวนสาธารณะอีกครั้งเพื่อถอดชุดที่สวมทับอยู่ออกก่อนจะเก็บใส่กระเป๋าผ้าเหมือนเดิม จัดเนื้อจัดตัวให้เรียบยร้อยเหมือนตอนที่เพิ่งออกมาจากอะพาร์ตเมนต์ ฉันเดินไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีจุดหมาย ฉันไม่ได้รู้สึกกลัวหรือรู้สึกผิดต่อสิ่งที่ทำลงไปเลยด้วยซ้ำ ในใจของฉันมันนิ่งเสียจนฉันเองก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ สุดท้ายก็เลือกเข้าไปนั่งที่ร้านสะดวกซื้อที่เปิด 24 ชั่วโมง พอเช้าก็กลับมาที่ห้อง จัดการซักเสื้อผ้าที่ใส่ไปเมื่อคืน ก่อนจะเดินออกมาชงชาดื่มทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


รุ่งเช้าวันต่อมาข่าวการตายของชินตะปรากฏบนจอโทรทัศน์ช่องเดียวกันกับข่าวของอิจิโกะตำรวจสรุปคดีความว่าเขาถูกฆ่าชิงทรัพย์ที่มักเกิดขึ้นบ่อยบริเวณนั้น เพราะข้อเสียของพื้นที่นั้นที่ไม่มีกล้องวงจรปิดและไม่ค่อยมีคนใช้ทางนั้นจึงทำให้การสืบหาตัวคนร้ายนั้นเป็นไปได้ยาก ฉันฟังข่าวไปพร้อมทาแยมสตรอว์เบอร์รีบนขนมปังอย่างพอใจ


ความโกรธแค้นที่คุกรุ่นในใจของฉันค่อย ๆ มอดลงไปแล้ว


อิจิโกะ พี่จะพอใจในสิ่งที่ฉันทำลงไปไหมคะ






หลังจากที่อิจิโกะตายไป ฉันเพิ่งได้มารู้ว่าเธอมีพี่สาวอีกคนที่ไปเรียนต่อต่างประเทศ ได้ใช้ชีวิตอย่างดี และไม่เคยมาดูดำดูดีอิจิโกะเลย


ขณะที่กำลังเดินไปที่ห้องอะพาร์ตเมนต์หลังจากเลิกงานที่ร้านสะดวกซื้อวันหนึ่ง ฉันได้เจอกับใครคนหนึ่ง เธอดูคุ้นหน้าคุ้นตาจนหัวใจฉันเต้นแรง ใครคนนั้นเป็นผู้หญิงตัวผอมสูง ผมสีขาว ใบหน้ารูปไข่ เธอยืนร้องไห้อยู่ที่หน้าประตูห้องของอิจิโกะ


ถ้าเป็นคนอื่นฉันจะไม่สนใจเลย แต่เธอคนนี้ทำให้ฉันมีความหวังว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนก่อนเป็นเรื่องโกหก อิจิโกะยืนอยู่ตรงนี้แล้ว เธอไม่ได้จากไปไหน


“อิจิโกะ” ฉันเดินไปหยุดหน้าประตูห้องของฉันที่อยู่ข้างประตูห้องอีกห้องซึ่งเธอยืนอยู่


เธอหันหน้ามามองฉัน หัวใจของฉันเต้นแรงจนรู้สึกเจ็บแปลบในจังหวะแรก เหมือนฉันได้เห็นภาพที่ฉันอยากจะเห็นมากที่สุดในชีวิต แม้ว่าใบหน้านั้นกำลังร้องไห้ น้ำตาใส ๆ เปรอะเต็มแก้มแดงระเรือทั้งสองข้าง แต่เธอมีใบหน้าเหมือนอิจิโกะที่สุด เป็นใบหน้าสวยไร้รอยช้ำของการถูกทำร้าย เธอเหมือนอิจิโกะแทบจะทุกส่วน แต่แล้วอะไรบางอย่างก็ปลุกให้ฉันกลับเข้าสู่โลกของความเป็นจริง


เธอไม่ใช่อิจิโกะ พี่สาวของฉัน


“ขอโทษค่ะ คุณดูคล้ายเจ้าของห้องนี้มาก”


อิจิโกะจะไม่กลับมาอีกแล้ว


“เธอรู้จักอิจิโกะเหรอ” เธอถามฉันด้วยความพยายามห้ามเสียงไม่ให้สั่น และปาดน้ำตาข้างแก้มออกอย่างลวก ๆ


“ค่ะ” ฉันตอบแล้วรีบค้นหากระดาษทิชชูในกระเป๋า เธอเหมือนอิจิโกะที่กำลังร้องไห้


“ฉันเป็นเพื่อนบ้านของอิจิโกะค่ะ” ฉันดึงกระดาษทิชชู่ออกมา 2 - 3 แผ่นแล้วยื่นให้เธอ


“ว่าแต่คุณคือ...”


“ซากาโมโตะ ซากุระจ้ะ” เธอรับกระดาษทิชชู่ไปแล้วซับขอบตาเบา ๆ “ขอบคุณที่ดูแลเเละเป็นเพื่อนกับอิจิโกะนะ”


“นามสกุลซากาโมโตะ...” นามสกุลเดียวกันกับอิจิโกะเลย


“อ้อ ฉันเป็นพี่สาวของเธอน่ะ แต่ฉันย้ายไปอยู่ต่างประเทศตั้งนานเเล้ว” เธอไขข้อสงสัยให้ฉันพร้อมกับรอยยิ้มสวยแบบเดียวกันกับรอยยิ้มของอิจิโกะ


เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องนี้ อิจิโกะไม่เคยบอกฉันเลยว่ามีพี่สาว ฉันยังไม่อยากเชื่อแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เพราะใบหน้าที่เหมือนอิจิโกะจริง ๆ แต่ดูมีอายุกว่านั้นบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเธอคือครอบครัวของ อิจิโกะ


“แล้วเธอชื่ออะไรเหรอ” เธอถามขึ้นอีกครั้งทำลายความเงียบ ทำให้ฉันรู้ตัวอีกครั้งว่ากำลังจ้องหน้าเธออยู่


อิวาซากิ สุมิเระ” ฉันตอบห้วน ๆ เพราะกำลังใช้ความคิด


“อา ชื่อน่ารักมากเลย หวังว่าจะได้เจอกันใหม่นะจ๊ะ” เธอเปิดประตูเข้าไปในห้องของอิจิโกะอย่างรวดเร็ว แต่ฉันยังมีเรื่องที่อยากจะถาม จึงพยายามจับประตูไว้ก่อน


“โอ้ย!” เพราะเผลอไปจับตรงขอบประตู เลยทำให้โดนความเร็วของอีกคนที่รีบปิดประตูหนีบเข้าให้เสียเต็มแรง


“เธอเป็นอะไรไหม” เธอรีบดันประตูออกอย่างรวดเร็วทันที หลังจากที่ฉันร้องออกมา ความอยากรู้อยากเห็นหมดลงทันที ฉันส่ายหน้าแล้วกดรหัสประตูเข้าห้องตัวเองไป


ฉันยืนพิงประตูด้านในห้องของตัวเอง กุมนิ้วมือที่โดนหนีบเมื่อกี้ไว้แน่นพลางนึกสงสัยในใจว่าทำไมอิจิโกะถึงไม่บอกฉันนะว่าเธอมีพี่สาวด้วย



***



ปึก


สุดท้ายก็ทนความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับครอบครัวของอิจิโกะไม่ได้ หลังจากที่ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังมาจากห้องอิจิโกะ ฉันก็ตัดสินใจเดินไปยังห้องข้าง ๆ แม้ว่าจะกดกริ่งกี่ครั้งก็ไม่มีใครเปิดประตูให้ จึงถือวิสาสะกดรหัสประตูห้องของอิจิโกะที่เธอเคยบอกไว้แล้วเดินเข้ามา


“คุณซากุระ!” ฉันกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหาผู้หญิงที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่ชั่วโมงก่อน ซากุระนอนอยู่ที่พื้น พอจับตัวดูก็รู้ว่าเธอเป็นลมสลบไป เธอคงจะยังทำใจไม่ได้ที่ต้องเสียน้องสาวไป


ฉันใช้กำลังทั้งหมดที่มีย้ายเธอไปนอนบนเตียงใหญ่ของอิจิโกะ จัดการให้เธอนอนตะแคงในท่าที่เหมาะสม หากะละมังใส่น้ำและผ้ามาเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก เช็ดหน้าเช็ดตาที่เปื้อนเป็นคราบน้ำตาให้เธอ ฉันใช้ข้าวของและสถานที่อย่างคุ้นเคย เพราะวันหยุดที่ฉันไม่มีเรียนหรือต้องทำงาน หลังจากที่ชินตะออกไปทำงานแล้ว ฉันก็จะคอยมาอยู่เล่นที่ห้องของเธอเป็นประจำ


เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ซากุระหลับไปนานจนกระทั่งเช้าวันใหม่ ฉันที่นั่งคอยเธออยู่มุมห้องไม่ได้หลับทั้งคืนเพราะเอาแต่จ้องหน้าเธอและทบทวนเรื่องราวของอิจิโกะวนไปมาในหัว


“ธะ เธอ” เสียงของเธอทักขึ้นปลุกฉันให้ตื่นจากความคิด


“ฉันได้ยินเสียงของตก ฉันเลยคิดว่าคุณอาจต้องการความช่วยเหลือ ก็เลยถือวิสาสะเข้ามา...” ฉันพูดพร้อมกับเลื่อนสายตาไปที่กะละมังใบเล็กกับผ้าขนหนู หวังว่าเธอจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูด


“คุณเป็นลมน่ะค่ะ” ฉันพูดอีกครั้งเพราะดูเหมือนเธอจะยังไม่เข้าใจ “แต่ตื่นแล้วก็ดี ฉันขอตัว” พูดพร้อมกับเดินไปหยิบกะละมังและผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำไป


“เธอเข้ามาได้ยังไง” ซากุระถามฉันทันทีที่ฉันเดินออกมา


“ก่อนที่คุณจะมา ฉันสนิทกับอิจิโกะพอสมควรฉันเลยรู้รหัสห้องเธอค่ะ” ฉันตอบออกมาง่าย ๆ พลางสวมรองเท้าผ้าใบคู่โปรดของฉันที่หน้าประตูห้อง ก่อนจะเอื้อมมือเปิดประตูออกไป


“เธอสนิทกับอิจิโกะขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วเธอรู้ไหมว่าเธอตายได้ยังไง” เสียงของซากุระดังขึ้นรั้งฉันไว้ก่อนที่จะได้ออกจากห้องไป คำถามของเธอชวนทำให้ฉันหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ


“คุณเป็นพี่ของอิจิโกะนะคะ คุณไม่รู้เหรอ” ฉันแทบจะควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่ เธอเป็นพี่ภาษาอะไรกัน


“ฉันรู้ว่าอิจิโกะเกิดภาวะช็อกจากแอลกอฮอลล์ แต่...” เธอหยุดพูดแล้วทำท่าทางลังเลใจ


“แต่อะไร”


“น้องฉัน เธอไม่ดื่ม” เธอตอยด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ ประโยคนั้นทำให้ฉันเดินกลับเข้ามาหาเธอที่นั่งอยู่บนเตียง


ฉันทั้งรู้สึกขอบคุณและดีใจที่อย่างน้อยก็มีคนรู้ความจริงข้อนี้ อย่างน้อยก็ีใครสักคนที่สงสัยการตายของอิจิโกะ ฉันตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดที่คิดว่าซากุระคงจะยังไม่รู้ให้ฟังทั้งหมด รวมถึงการคาดเดาที่ว่าแท้จริงแล้วอิจิโกะตายอย่างไร


“ฉันคิดว่าชินตะต้องบังคับให้เธอดื่มจนกระทั่งเธอช็อก” ฉันพูดถึงแค่นี้ก็สังเกตเห็นว่าเธอเริ่มสั่นด้วยความโกรธ เธอกำมือแน่นพยายามระงับอารมณ์ของตัวเองไว้ ฉันทำเป็นไม่สนใจแล้วเดินกลับไปที่ประตูห้องอีกครั้ง


“คนที่ชินตะเขาอยู่ที่ไหน” น้ำเสียงของเธอเปลี่ยนไป ฟังดูเยือกเย็นน่ากลัวไม่เหมือนน้ำเสียงตอนแรกที่พูดคุยกัน ฉันเผลอยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย


“คนชั่ว ๆ อย่างมันคงตายไปแล้วมั้ง” ไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้น ฉันเปิดประตูแล้วออกจากห้องนี้ไป



***



ฉันได้เข้าใจแล้วว่าทำไมอิจิโกะถึงยอมทนอยู่กับชินตะแม้ว่าเขาจะใจร้ายกับเธอขนาดนั้น ตอนที่ ซากาโมโตะ ซากุระ พี่สาวของเธอหนีไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศสคนเดียวหลังจากที่พ่อแม่เสียไป ชินตะคือคนที่คอยดูแลเเละอยู่เคียงข้างเธอเสมอในช่วงเวลาที่เเย่ที่สุดของอิจิโกะมีแค่ชินตะ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่อาจยกโทษให้ได้ การที่เขาต้องตายนั่นเป็นเรื่องที่สมควรที่สุดแล้ว


ผ่านมาเพียง 2 สัปดาห์ที่ได้รู้จักกับซากุระ หลังจากที่พบกันวันแรกเธอก็ขอให้ฉันเล่าเรื่องของอิจิโกะให้ฟังอีก ฉันเล่าทุกอย่างที่รู้ บรรยากาศที่ได้อยู่กับซากุระคล้าย ๆ กับเวลาได้คุยกับอิจิโกะ จนฉันเผลอเปิดใจสนิทสนมกับเธออย่างไม่รู้ตัว


แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นฉันก็ยังรู้สึกโกรธเธอที่ทิ้งอิจิโกะไว้คนเดียวทีนี่อยู่ดี ความโกรธนั้นไม่เคยลดลงเลย เธอทำให้ชีวิตของอิจิโกะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้และจบชีวิตลง แม้ว่าซากุระจะบอกว่าที่ทำไปแบบนั้นเพราะไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว


ข้อแก้ตัวของเธอทำให้ฉันเลิกโกรธเธอไม่ได้ และฉันคิดว่าอิจิโกะก็คงไม่อยากให้อภัยเธอเหมือนกัน


“อาทิตย์หน้าเธอว่างไหม สุมิเระ” ซากุระถามฉันขึ้นระหว่างที่ฉันช่วยเธอเก็บของในห้องอิจิโกะใส่ลังกระดาษ


“ทำไมเหรอคะ”


“ฉันจะชวนเธอไปงานประมูลของเก่า” ฉันนิ่งไปก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหน้าเธอ เมื่อได้ฟังคำตอบนั้น


“คุณสนใจของเก่าด้วยเหรอคะ” ฉันถามเธออีกครั้ง ในใจรู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไร


“แน่นอนสิ” เธอตอบหน้าตาเฉย ในเวลาแบบนี้ยังมีเวลามาสนใจงานอดิเรกบ้า ๆ อย่างนั้นอยู่อีกเหรอ ฉันเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าการที่อิจิโกะตายไปทำให้เธอเสียใจจริง ๆ หรือเปล่า


ท่าทางที่ดูหายเศร้าจากเรื่องที่เกิดขึ้นง่ายดายและยังมีเวลาคิดถึงเรื่องอื่นแบบนี้เป็นข้อสนับสนุนชั้นดีว่าที่อิจิโกะไม่เคยเล่าเรื่องซากุระให้ฟังนั้นก็เพราะเธอก็เกลียดพี่สาวของเธอเหมือนกัน


“แต่ฉันไม่ได้กลับมาญี่ปุ่นนานแล้ว ฉันเลยอยากได้เพื่อนนำทางสักคนน่ะ เธอช่วยฉันได้ไหม” เธอพูดอธิบายขณะที่ฉันจ้องหน้าของเธออยู่ ความโกรธที่เคยมีแบบครั้งที่เจอชินตะปะทุขึ้นอีกแล้วในใจของฉัน ในหัวเริ่มวางแผนหาวิธีจัดการคนที่ทำให้อิจิโกะต้องตายอีกครั้ง


เมื่อเคยได้ฆ่าใครสักคนมาแล้วครั้งหนึ่ง การฆ่าคนต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย


“ได้ค่ะ ฉันว่างพอดี” ฉันตอบด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรตามธรรมชาติของฉัน


“ดีเลย งั้นเตรียมตัวให้พร้อมนะ” ซากุระตอบอย่างดีใจ


เธอไม่สังเกตเห็นความโกรธในตาของฉันเลย



***



เมื่อ 2 - 3 วันก่อนระหว่างที่กำลังเดินไปทำงานที่ร้านสะดวกซื้อ ฉันได้รับใบปลิวจากร้านขายเครื่องสำอางใกล้ ๆ ในใบเป็นโฆษณากิจกรรมลองทำลิปสติกของตัวเอง ฉันเดินอ่านรายละเอียดนั้นเเก้เบื่อไปเรื่อย ๆ แล้วความคิดบางอย่างผุดขึ้นในหัว และวันนี้ฉันก็นั่งอยู่บริเวณจัดกิจกรรมเรียบร้อยแล้ว


ตรงหน้าของฉันมีอุปกรณ์สำหรับทำลิปสติกวางอยู่หลายชุด แต่มีฉันคนเดียวที่นั่งอยู่ตรงนี้ เนื่องจากไม่ใช่วันหยุดและเป็นเวลาทำงานของคนส่วนใหญ่ เลยถือเป็นโอกาสดีอีกครั้งที่ฉันจะได้ลงมือทำลิปสติกสูตรพิเศษ


ลิปสติกที่ฉันตั้งใจจะทำให้ซากุระทาคนเดียว


พนักงานคอยยืนสอนวิธีการทำเบื้องต้นให้กับฉัน ก่อนจะขอตัวเดินไปช่วยลูกค้าคนอื่น ฉันบรรจงผสมเบสลิปสติกกับสีอย่างใจเย็น สีแดงสดเหมาะกับซากุระมากที่สุด ไม่มีใครทันสังเกตเห็นตอนที่ฉันใส่สารพิษบางอย่างลงไปไว้ที่ก้นขวดลิปสติก


อิจิโกะ พี่จะโกรธฉันไหมคะ


ผสมสีเรียบร้อยก็ใส่กลิ่นเพื่อให้กลิ่นของลิปสติกไม่ตีกับกลิ่นของสารพิษที่ใส่เข้าไป ฉันเลยเลือกหยิบกลิ่นแอลมอนด์มาใช้ จากนั้นก็ผสมแป้งเพื่อให้เนื้อลิปสติกไม่เหลวเกินไป ก่อนจะจัดแจงตักใส่ขวดลิปสติก


“ประมาณนี้ได้ไหมคะ เสร็จแล้วล่ะค่ะ” ฉันยกลิปสติกที่ทำเองในมือให้พนักงานดู ก่อนที่เธอจะนำไปห่อใส่กล่องใบเล็กสวยให้


ฉันมองกล่องของขวัญที่ห่อลิปสติกแท่งนั้นในมืออีกครั้ง แค่เอาไปให้ซากุระเท่านั้น การแก้แค้นให้อิจิโกะก็จะได้จบลงเสียที


อิจิโกะจะเข้าใจความรักของฉันที่มีต่อเธอไหมนะ


เธอจะเข้าใจวิธีการแสดงออกของฉันที่ทำเพื่อเธอไหมนะ


ไม่กี่วันต่อมาก็ถึงวันที่ต้องเดินทาง ถึงจะรู้ว่าเป็นงานที่มีแต่กลุ่มคนรวย ๆ แต่ฉันก็เลือกที่จะแต่งตัวแบบที่เป็นตัวของตัวเอง เสื้อเชิ้ตสีขาวธรรมดา ๆ กับกางเกงยีนสีฟ้าอ่อน รองเท้าผ้าใบคู่ใจทำให้ฉันมั่นใจขึ้น


แตกต่างกับซากุระมากที่สุด เธออยู่ในชุดเกาะอกสวยสีดำยาวคลุมเข่าแต่ผ่าข้างเผยให้เห็นขาขาวเรียวยาว เสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวสะอาดตา รสนิยมของเธอบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเธอใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่ในเมืองแห่งแฟชั่นมานานเกือบ 10 ปี


“ขึ้นรถเถอะ” เธอเรียกให้ฉันขึ้นรถก่อนจะเข้าไปนั่งทางฝั่งคนขับ ฉันเดินขึ้นไปนั่งฝั่งตรงข้ามอย่างว่าง่าย ก่อนที่รถจะค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกไปจากหน้าอะพาร์ตเมนต์ของฉัน


เราคุยกันไปเรื่อย ๆ ตลอดทาง ตั้งแต่อิจิโกะจากไปฉันแทบไม่ได้คุยกับใครมากเท่านี้เลย ซากุระเติมเต็มความว่างเปล่าในใจของฉันด้วยเรื่องราวสมัยเด็กของอิจิโกะ ฉันเล่าเรื่องเกี่ยวกับอิจิโกะที่ฉันรู้จักมาตลอด 4 ปี ให้ซากุระฟัง


คิดถึงอิจิโกะจัง

แม้ว่าจะดีใจที่ได้รู้เรื่องวัยเด็กของอิจิโกะ บางเรื่องที่รู้อยู่แล้วพอได้ฟังอีกครั้งในมุมมองของพี่สาวก็ดีไปอีกแบบ ฉันอยากฟังเรื่องของอิจิโกะอีกเยอะ ๆ เลย แต่ก็คงทำไม่ได้แล้วล่ะ เพราะฉันไม่คิดจะยกเลิกแผนการที่เตรียมไว้หรอก


ยกโทษให้ไม่ได้

รถยนต์คันหรูที่ซากุระเช่ามาจากโตเกียวขับเข้ามาถึงคิวซูแล้ว ตอนนี้พวกเราอยู่ในจังหวัดคุมาโมโตะอย่างปลอดภัย เราหาที่จอดรถในจุดพักรถตีนเขา เพื่อต่อรถของเจ้าของงานจัดประมูลของเก่าขึ้นไปบนเขาอีกที


“ฉันให้ค่ะ” ก่อนที่จะลงจากรถ ฉันยื่นกล่องของขวัญที่เตรียมไว้ให้ซากุระ เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือออกมารับ


“ให้ฉันเหรอ” ฉันพยักหน้าตอบ


“อีกสองวันคุณก็จะกลับฝรั่งเศสแล้วใช่ไหมคะ ถือว่าเป็นของที่ระลึกจากฉันละกันนะคะ”


ซากุระเปิดฝากล่องใบเล็กในมือนั้นดู ฉันมองเธอที่มองลิปสติกทำเองในนั้นอีกทีก่อนจะละสายตามาหาฉันอีกครั้ง


“สวยมากเลย ขอบคุณะสุมิเระ”


“ขอบคุณที่ทำให้ฉันหายเศร้าเรื่องอิจิโกะนะคะ” ฉันตอบพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ เธอพยักหน้ารับก่อนจะหย่อนลิปสติกใส่กระเป๋าถือ เธอดูไม่ออกเลยว่าฉันไม่ได้หมายความตามที่พูดออกมา ฉันไม่เคยหายเศร้าเรื่องของอิจิโกะสักนาทีเดียว




***


เราเดินออกมารอรถของเจ้าของงานให้มารับ ไม่นานรถหรูคันหนึ่งก็มาถึงก่อนจะเชิญเราขึ้นรถและพาขึ้นไปยังบ้านพักตากอากาศที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของภูเขาเอโซะ


บ้านพักตากอากาศสองชั้นขนาดใหญ่ตกแต่งสไตล์ยุโรปตั้งเด่นอยู่ท่ามกลางบ้านญี่ปุ่นเก่าแก่กว่า 300 ปี ฮาตาโอกะ ยูกิ ผู้เป็นเจ้าของบ้านและผู้จัดงานออกมาต้อนรับเราอย่างสุภาพ หน้าตาที่ดูขี้เล่น และรูปลักษณ์การแต่งตัวของเขาบ่งบอกว่าคงอายุไม่ห่างจากฉันมาก และดูไม่ค่อยเหมือนคนที่จะชื่นชอบของเก่าเท่าไร แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก


สิ่งเดียวที่สำคัญตอนนี้คือเมื่อไรที่ซากุระหยิบลิปสติกของฉันขึ้นมาทาเท่านั้น…


เราเอากระเป๋าสัมภาระส่วนตัวเข้าไปเก็บที่ห้องซึ่งพ่อบ้านของที่นี่ได้จัดเตรียมไว้ให้แล้ว ห้องพักของฉันอยู่ชั้นสอง ทางซ้ายมือริมสุดติดกับห้องของซากุระ ตลอดทางเดินหน้าห้องทุกอย่างถูกตกแต่งอย่างดีแบบยุโรปตามฉบับของพวกเศรษฐี เกิดเป็นคนรวยนี่มันดีจริง ๆ ห้องนอนที่นี่ใหญ่กว่าอะพาร์ตเมนต์ของฉันหลายเท่า


ระหว่างทางเดินลงมารวมกับทุกคน ฉันเดินตามซากุระมาช้า ๆ เพราะมัวแต่มองสำรวจไปทั่วทุกมุมของบ้าน บ้านสวยแบบที่เด็กกำพร้าอย่างฉันไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัส พอมาถึงห้องห้องอาหารก็เห็นว่ามีคนอื่น ๆ นั่งอยู่ก่อนแล้ว โคซากิ มิคาโดะ กับ เรอิกิ โฮชิ เด็กมหาวิทยาลัยที่ดูเด็กกว่าฉัน2 คน นั่งอยู่กับคุณฮาตาโอกะ


“อันนี้ฉันนำมาเป็นของกำนัลค่ะ” ซากุระยื่นไวน์ในมือให้บริกรก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ตรงหัวโต๊ะอีกฝั่งตรงข้ามกับที่นั่งของคุณฮาตาโอกะ และฉันเลือกนั่งที่ด้านซ้ายของซากุระ


ไม่นานคุณฮาตาโอกะก็ขอตัวออกไปรับแขกคนอื่น ๆ ที่เพิ่งมาถึงจนครบ มีเพียง 8 คนเท่านั้นที่มางานประมูลที่นี่ ถึงคนจะน้อยแต่ก็ไม่ได้ดูบางตาเลยเมื่อนั่งรวมกันอยู่ที่โต๊ะอาหารตัวยาวกับอาหารหรูหราที่ชีวิตนี้ไม่รู้จะโอกาสได้กินไหมถ้าหากซากุระไม่ได้ชวนฉันมาที่นี่ ฉันตื่นตากับอาหารที่นำมาวางให้อยู่คนเดียวเงียบ ๆ ก่อนจะบังเอิญเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่าซากุระนั่งมองอะไรบางอย่างด้วยแววตาสั่น ๆ


ฉันมองตามไปทางที่ซากุระมอง เธอจ้องผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งห่างจากไปหนึ่งเก้าอี้ หน้าตาของเขาคุ้น ๆ เหมือนฉันเคยเจอที่ไหน และไม่กี่นาทีต่อมาก็นึกออก เขาคือเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สรุปคดีของอิจิโกะ เจ้าหน้าที่ที่สืบคดีห้วน ๆ ว่าอิโกะดื่มเบียร์จนช็อกเสียชีวิต เจ้าหน้าที่ตำรวจเซย์กิ เคน


ฉันหันกลับมามองที่ซากุระอีกครั้ง และพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวที่คิดขึ้นเอาเอง เป็นไปได้ไหมนะว่าซากุระมาที่นี่เพื่อแก้แค้นให้อิจิโกะเพราะคดีของเธอถูกตำรวจคนนี้ทำงานชุ่ย ๆ จนคดีปิดไปอย่างที่อิจิโกะไม่ได้รับความยุติธรรมอะไรเลย


การประมูลเครื่องเรือน และของประดับเก่าแก่ราคาแพงดำเนินไปเรื่อย ๆ อย่างเรียบง่ายพร้อมกับมื้ออาหาร ฉันได้ทำความรู้จักละพูดคุยกับคนอื่น ๆ บ้างตามมารยาท ทุกคนพูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง และไม่ได้เเก่งแย่งกันเหมือนในละครที่เคยดู ฉันไม่รู้ว่าเป็นการประมูลแบบของผู้ดีหรือทุกคนไม่ได้สนใจจะประมูลกันแน่


ฉันที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารและการพูดคุยเรื่องราคาของเครื่องเรือนเก่าแก่เริ่มจะทนอยู่ต่อไม่ไหว ตอนนี้มีความคิดหลายอย่างตีกันอยู่ในหัว ถ้าหากว่าการคาดเดาของฉันถูกต้องก็หมายความว่าฉันกำลังฆ่าซากุระเพราะคิดว่าเธอทิ้งอิจิโกะไว้ที่นี่ให้ต้องเจอเรื่องร้าย ๆ จนกระทั่งตายไป เพราะคิดว่าซากุระยังมีอารมณ์มาประมูลของสะสมราคาแพงในช่วงที่ควรจะรู้สึกเศร้าเสียใจต่อการจากไปของน้องสาว แต่ความจริงแล้วอาจจะไม่ใช่อย่างที่ฉันคิดก็ได้


หรือว่าฉันจะคิดไปเองคนเดียวมาโดยตลอด โดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยงั้นเหรอ


ฉันเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าสิ่งที่ทำลงไปมันถูกหรือผิด ฉันรู้แค่ว่าต้องทำสิ่งที่ยุติธรรมที่สุด สำหรับทุก ๆ คนที่ทำร้ายอิจิโกะ ฉันไม่สามารถยกโทษให้ใครได้ อิจิโกะก็คงคิดเหมือนกันกับฉัน


อยู่ ๆ ความรู้สึกสับสนก็ท่วมท้นออกมาเสียดื้อ ๆ จนล้นอก ฉันรู้สึกหายใจไม่ออกและไม่สามารถทนมองซากุระได้แล้ว ฉันควรจะขอลิปสติกแท่งนั้นคืนไหมนะ หรือฉันจะปล่อยให้เธอตายไปด้วยลิปสติกแท่งนั้นตามที่วางแผนไว้ แล้วเธอจะทาลิปสติกแท่งนั้นไหม คำถามมากมายผุดขึ้นเต็มหัวจนรู้สึกหนักอึ้งไปหมด


“สุมิเระ ไหวไหมหน้าตาเธอดูไม่ค่อยดี” ซากุระที่คงจะสังเกตเห็นอาการแปลก ๆ ของฉันถามขึ้น


“ฉันน่าจะเพลียกับการเดินทางน่ะค่ะ ถ้าหากไม่ว่าอะไรฉันจะขอไปพักก่อนนะคะ” ฉันพูดแล้วลุกขึ้น ก่อนจะขอทางและแยกออกมา


ฉันควรจะทำอย่างไรดี


“ไปพักเถอะจ้ะ …เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการต่อเอง” ซากุระตอบฉันพลางเอามือแตะที่หลังฉันเบา ๆ นั่นยิ่งทำให้ฉันต้องคิดหนักกว่าเดิม และเริ่มโกรธตัวเอง


ฉันมองไม่ออกเลยว่าเวลาที่ผ่านมาซากุระดีกับฉันมาโดยตลอด และเธอก็รักอิจิโกะมากไม่ต่างจากฉัน แต่ฉันกำลังฆ่าเธอ


ตลอดเวลาที่เดินกลับมาที่ห้อง เสียงในหัวของฉันที่กำลังตีกันจนยุ่งเหยิงทำให้ฉันไม่ทันรู้ตัวว่ามีใครอีกคนเดินตามมาด้วย ใครคนนั้นดันประตูพยายามตามหลังฉันเข้ามาในห้อง


“โอ้ ขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณตกใจ...” เป็นคุณฮาตาโอกะ เจ้าของบ้านนั่นเอง ฉันเพียงแค่หันไปยิ้มตอบให้ตามมารยาท ตอนนี้ฉันไม่มีกะจิตกะใจจะคุยกับใครอีกแล้ว


แต่เหมือนคุณฮาตาโอกะจะอ่านบรรยากาศไม่ออก เขาพยายามแทรกตัวเข้ามาในห้องอย่างไม่เกรงใจว่าฉันกำลังจะปิดประตูใส่หน้าเขา แรงของผู้ชายที่มีมากกว่าผู้หญิงอ่อนล้าอย่างฉันสู้ไม่ได้ ในที่สุดเขาก็เข้ามาในห้องของฉันจนได้ ฉันไม่รู้เขาต้องการอะไร


“มีอะไรหรือเปล่าคะ” เขาไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังเสียมารยาทกับฉัน ถึงนี่จะเป็นบ้านของเขา แต่ตอนนี้มันเป็นห้องพักของฉันแล้ว และฉันเป็นผู้หญิง


“คุณดูไม่ค่อยดี ผมเป็นห่วงก็เลยตามมาดูน่ะ...”

“ขอบคุณค่ะ เราสนิทกันเร็วเหลือเกินนะคะ” ฉันพยายามแสดงออกว่าไม่พอใจ แต่ดูเหมือนว่าคุณฮาตาโอกะจะไม่สนใจเลยสักนิด


“มีอะไร...ที่ผมพอจะช่วยคุณได้ไหม” เขาถามด้วยรอยยิ้ม แววตาของเขาดูน่ากลัวแปลก ๆ


“คุณช่วยฉันไม่ได้หรอกค่ะ คุณฮาตาโอกะ ฉันอยากพักผ่อน” ฉันตอบขณะที่เอามือทั้งสองถูหน้าตัวเองอย่างกลุ้มใจ ไม่ทันได้มองว่าคุณฮาตาโอกะพยายามจะทำอะไรกับฉันกันแน่

ใบมีดสีเงินสะท้อนกับแดดที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างเป็นแสงวิบวับเล็กน้อย ก่อนที่จะทันได้ตั้งตัว คมแหลมของใบมีดนั้นดิ่งลงมาที่จุดสำคัญบริเวณท้องด้วยฝีมือของผู้ชายตรงหน้า ฉันกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด หวังว่าเสียงของฉันจะดังไปถึงหูของใครสักคนในบ้านหลังนี้


“คุณ..ฮาตาโอกะ” ฉันไม่เข้าใจอะไรเลย


จนถึงสุดท้ายโชคดีก็ไม่เคยเข้าข้างฉัน

แม้ว่าฉันจะล้มลงนอนกับพื้นแล้วคุณฮาตาโอกะก็ยังตามมานั่งคล่อมฉันไว้แม้ว่าฉันจะไม่ได้พยายามตอบโต้เขาเลย เขายังคงใช้มีดแทงลงมาซ้ำ ๆ โดยไม่พูดอะไร ไม่มีใครตามมาดูที่ห้องเพราะเสียงร้องของฉัน ลมหายใจเริ่มแผ่วเบาลงเรื่อย ๆ นิ้วมือและเท้าที่จิกเกร็งในตอนแรกเริ่มคลายลง แผ่นหลังของฉันแฉะเพราะเลือดที่ไหลนองออกมาตามรอยมีดที่แทงทะลุ


“มันเป็นอย่างนี้นี่เอง” อยู่ ๆ คุณฮาตาโอกะก็พูดออกมา ฉันก็ไม่เข้าใจอะไรเลยอยู่ดี


จนกระทั่งวินาทีสุดท้ายที่ฉันนึกได้


นี่คือผลจากการแก้แค้นของฉันเหรอ


ฉันไม่เข้าใจอะไรเลย


***




69 views0 comments

Comments


bottom of page